Re: ชมรม Geek

[Sucha.3]

ดูในสมุดพกนักเรียน ตอนนี้ขึ้นว่า

------------------------------------
ชมรม/สมาคม : Greek
------------------------------------

เท่เป็นบ้า ฮ่าๆๆๆๆ
(สงสัยจะบ้าจริง)

[Copy6.9]

ใจเย็นๆ ท่านประธาน ^^

[nook.9]

เริ่มเป็นชมรมและสิ หุๆๆ งั้นจาโพสเรื่อง Myth ไปเรื่อยๆอะ ถ้าไม่เบื่อซะก่อน

ขอบคุณประธานชมรมที่ทำชมรมแห่งความรู้(แปลกๆ) หุๆๆๆ

[Copy6.9]

เริ่มเป็นชมรมและสิ หุๆๆ งั้นจาโพสเรื่อง Myth ไปเรื่อยๆอะ ถ้าไม่เบื่อซะก่อน

จัดมาเลยนุ๊กรูปหล่อ

[Sucha.3]

เริ่มเป็นชมรมและสิ หุๆๆ งั้นจาโพสเรื่อง Myth ไปเรื่อยๆอะ ถ้าไม่เบื่อซะก่อน

รออ่านคราบบบบ

ส่วนถ้ามีอะไรขำๆ geek แนวๆ คณิต, คอมพ์, วิทยา, ... ที่ผมสนใจ จะเอามาโพสเรื่อยๆ เช่นกันครับ

[nook.9]

ในสหรัฐมีการวิจัยค้นคว้าเกี่ยวกับ เรื่องนี้โดยเฉพาะครับ จนกระทั่งมีการคั้งศูนย์วิจัยเกี่ยวกับปิรามิดขึ้น ดร. โบริส เวอร์น (Dr. Boris Verm) ผู้อำนวยการโครงการวิจัย ได้ทำการทดลอง โดยใช้ปิรามิดจำลอง ความสูงเพียง 10 นิ้ว ขึ้นแรก เขาใช้ไข่ดิบ วางไว้ในปิรามิดจำลอง และหลังจากนั้นก็คือ ไข่ได้เกิดการแข็งตัว และเหือดแห้งภายในเวลาเพียง 3 สัปดาห์ เท่านั้นเอง ครับ และปรากฏว่า เชื้อราต่าง ๆ ที่มักจะเกิดตามเปลือกไข่ไม่เติบโตขึ้นเลย และหากนำไปไว้นอกปิรามิด แล้วเชื้อราจะเติบโตอย่างรวดเร็วครับ การทดลองอันนี้ ได้ทดลองซ้ำ ๆ กันหลายครั้ง และใช้วัสดุอื่น ๆ เช่น ดอกไม้ ผลไม้ ผัก และสัตว์ต่าง ๆ เช่นปลา และแมลงต่าง ๆ
อีกท่านหนึ่งคือ เวอร์น คาเมรอน นักวิจัยชาวคาลิฟอร์เนีย ทำการทดลองกับเนื้อหมู กับปิรามิดจำลอง โดยทดลองกับเนื้อหมู ประมาณ 2 ออนซ์ (56.6 กรัม) และไขมันดิบ อีก 1 ออนซ์ (28.3 กรัม) และวางไว้ในปิรามิดจำลองอีกแล้ว และที่ที่จะทำให้มันเน่าเปื่อยได้เร็วที่สุด เขานำปิรามิดจำลองนี้ ไปแว้ใน ห้องน้ำครับ ต่อมาเขาก็นำไปไว้ในห้องที่มีอากาศร้อน และห้องที่มีไอน้ำมาก เพื่อให้อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง

ในการเฝ้าดู แล้ว เขาสังเกต ว่าวันที่ 3 จะมีกลิ่นเหม็น จากเนื้อหมู คล้าย ๆ กับจะมีการเน่าเปื่อยเกิดขึ้น แต่พอ 6 วัน กลิ่นนั้น ก็หายไป และเนื้อหมู แห่งโดยไม่มีการเน่าเปื่อยเลย ครับ เป็นเวลาหลายเดือน เนื้อหมูก็ไม่เน่าเปื่อย นำสามารถยังนำมาทานได้อีก

คาเมรอนยังได้ทดลองกับแตงโมอีก ก็วางไว้ในปิรามิดจำลองเช่นเดิม ไว้ในห้องน้ำอีกครั้งครับ จากนั้นเพียง 2-3 วัน ปรากฏว่า แตงโม จะเหือดแห้ง แต่ยังสามารถทานได้และไม่เน่าเปื่อยครับ นอกจากนั้นเขาก็ยังทดลองกับ น้ำนม หรือของเหลวอื่น ๆ อีกมากมายครับ
เขาพยายามค้นหาสาเหตุเขาจึงได้ประดิษฐ์ เครื่องวัดแสงรังสี (Aurameter) ขึ้น ใช้สำหรับวัดรังสี สนามพลังของวัตถุ เขากล่าวว่า พลังงานที่แผ่ขยายจากยอดปิรามิด จำลองอันเล็ก ๆ มีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างของหินชั้นบนของปิรามิด ซึ่งมีสนามพลังแผ่กระจายลงมาถึงฐาน ลงมาเป็นแนวตั้ง




พลังปิรามิด แห่งอียิปต์ เซอร์ ดับบลิว ซีแมนส์
อีกหนึ่งความสามารถของปิรามิดในการแสดงปฏิกิริยา เหมือนเครื่องสะสมไฟฟ้าสถิตครับ
เซอร์ ดับบลิว ซีแมนส์ นักประดิษฐ์ค้นคว้า ชาวอังกฤษ เขาเคยไปสัมผัสกับความลึกลับของมหาปิรามิด ในอียิปต์มา ในขณะที่เขายืนอยู่ภายใน ห้องเก็บศพอียิปต์ ตรงกับยอดของปิรามิด เขาพบว่า เมื่อใดที่เขาชูมือทั้งสองข้างขึ้นและกางนิ้วออก โสตประสาทของเขาได้ยินเสียงกังวาลเบา ๆ จากเบื้องบน ของปิรามิด แต่ที่น่าตกใจอีกแล้ว เขายกมือขึ้นแล้วใช้นิ้วชี้ตรงไปยังยอดของปิรามิดเขามีความรู้สึกคล้าย ๆ กับ ถูกเข็มจิ้มที่ปลายนิ้ว ครับ ต่อมา เขาก็ ยกขวดไวน์ ที่ติดตั้ง ดื่มแก้กระหาย ก็เกิดอาการกระตุกบริเวณปากขวด ขณะแตะริมฝีปาก และเขาใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ที่เปียกชื้นพันรอบ ๆ ขวด ปรากฏว่า มีการอาการกระตุก เกิดจากไฟฟ้า และขวดไวน์นั้นก็กลายเป็นเครื่องสะสมไฟฟ้าที่เรียกว่า ลีเดน จาร์ (Leyden Jar)







ลีเดน จาร์ เป็นเครื่องทดลองสะสมไฟฟ้ายุคแรกที่ประกอบด้วย ขวดแก้วมีแผ่นดีบุกไว้ทั้งภายในและภายนอก แผ่นดีบุกที่อยู่ข้างในติดกับแท่งโลหะ มีปลายเป็นปุ่มโลหะ

นักฟิสิกส์ หลายคนเชื่อว่า ปิรามิดไม่เพียงแต่จะเป็นสิ่งสะสมพลังงานเท่านั้นครับ มันยังสามารถกระจายพลังอำนาจต่าง ๆ ออกไปอีกด้วย จากวัตถุ ใด ๆ ก็ตามที่มีการสั่นสะเทือนของคลื่นความถี่แห่งพลังงาน นั้น ๆ ก็จะมีความสามารถเกิดปฏิกิริยาทางฟิสิกส์ขึ้นมาครับ คลื่นความถี่นี้ จะปรับกับระหับความถี่ของธรรมชาติ เช่นพลังงานแม่เหล็กโลก พลังงานคอสมิก จนกระทั่งก่อนให้เกิดพลังงานชนิดใหม่ขึ้นมา ครับ น่าทึ่งจริง ๆ

ที่มา http://www.electron.rmutphysics.com/science-news/index.php?option=com_content&task=view&id=247&Itemid=4

[ALT+F4]

โอ้ววว มันช่างปวดหัวดีแท้
เป็นตาม่วนน้อ
กำลังทำความเข้าใจอยู่

[Sucha.3]

nook.9:
แปลกดีเหมือนกันแฮะ เพิ่งรู้นะนี่ว่ามีอย่างงี้ด้วย o_O!

[nook.9]

nook.9:
แปลกดีเหมือนกันแฮะ เพิ่งรู้นะนี่ว่ามีอย่างงี้ด้วย o_O!

เราก็เพิ่งรู้ได้ไม่นาน
แต่ก่อนอ่านหนังสือ เค้าบอกว่า ในสงคราม มีทหารฝรั่งเอาใบมีดโกนไปวางไว้ในปิรามิดกระดาษ
แล้วจะทำให้มีดโกนโกนได้เยอะขึ้น หลังจากนั้นมีการจดลิขสิทธิ์ด้วย เออ ทำไปได้

ยังมีอีกเรื่องนะ เกี่ยวกับโครงการจะไปดาวอังคารของนาซ่า
เราอ่านตั้งแต่อยู่ม. 1 หนังสือเล่นนั้นมันบอกขั้นตอนในการเตรียมการไปดาวอังคาร
แต่มันเขียนขึ้่นเมื่อ สิบปีก่อนที่เราจะอ่าน ป่านนี้มันยังไม่ได้ไปเลย -_-'

[toe.4]

สงสัยต้องลอง อิอิ

[ไซนิล.7]

ขอร่วมด้วยคนจิคับ เราชอบการ์ตูน(ไทย+ญี่ปุ่น) และดนตรี ไม่รู้ว่าจะ geek กะเขาได้ไหม

ปล.นุ๊ก แกนี่เอง ที่เป็นคนชี้นำให้เราอ่าน MMR (การ์ตูนเกี่ยวกับสำนักงานที่ทำการตรวจสอบเรื่องลี้ลับ)
เป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่ทำให้เราฝันร้ายมาก นอนไม่หลับ กลัววันโลกแตกที่จะเกิดในปี 1999
สุดท้ายเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนว่าจะแก่แล้ว 55+ แอบขำตัวเอง แต่ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ -"-

[Sucha.3]

ได้เลยครับ ท่าน ไซนิล

[Sucha.3]

ขอเสนอความคิดไว้ในนี้ละกันสำหรับการจัดการชมรม/สมาคม สมาชิกในชมรมคิดยังไง เสนอความคิดกันได้นะครับ เดี๋ยวจะส่ง PM ให้ admin ด้วย

กำลังสงสัยว่า ถ้าได้เป็นชมรมแล้ว จะมีห้องส่วนตัวป่าว
ตัวอย่างเช่น
FORUM
----บอร์ดรวมทุกห้อง

----บอร์ดคุยเรื่องมีทติ้งรุ่นปีใหม่2009
--------ห้องคณะทำงานจัดงานเลี้ยงรุ่น

----บอร์ดแยกแต่ละห้อง
--------บอร์ดห้อง1
.
.
.
--------บอร์ดห้อง16

----บอร์ดชมรม
--------ชมรม Geek


ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากในชมรม ก็มี geek หลายๆ เรื่อง เช่น myth, cartoon, maths, science, computer เป็นต้น
หากสามารถตั้งเป็นบอร์ดย่อยในบอร์ดหลักได้น่าจะดี และทำให้การจัดการดูแล เป็นระบบระเบียบมากขึ้น (น่าจะดีกว่าปัจจุบันที่ยังอยู่ใน"บอร์ดรวมทุกห้อง") เช่น คนในชมรม geek (ทุกคน/บางส่วน) สามารถตั้งกระทู้ในชมรม geek ได้เอง ตัวอย่างเช่น แต่ละห้อง1-16 ในปัจจุบัน

[nook.9]

ขอร่วมด้วยคนจิคับ เราชอบการ์ตูน(ไทย+ญี่ปุ่น) และดนตรี ไม่รู้ว่าจะ geek กะเขาได้ไหม

ปล.นุ๊ก แกนี่เอง ที่เป็นคนชี้นำให้เราอ่าน MMR (การ์ตูนเกี่ยวกับสำนักงานที่ทำการตรวจสอบเรื่องลี้ลับ)
เป็นการ์ตูนเรื่องแรกที่ทำให้เราฝันร้ายมาก นอนไม่หลับ กลัววันโลกแตกที่จะเกิดในปี 1999
สุดท้ายเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาจนว่าจะแก่แล้ว 55+ แอบขำตัวเอง แต่ตอนนั้นกลัวมากจริงๆ -"-

ดูท่าทางมันคงไม่แตกแล้วแหล่ะ แต่ร้อนขึ้นมาแทน -_- เหอะๆๆๆ ถ้าการ์ตูนนะตอนนี้เราอ่านแบบออนไลน์อยู่นะ ไซนิล มีพวก นารูโตะ วันพีช ฮันเตอร์ และอีกมากมาย แต่ส่วนใหญ่เป็นภาษาอังกฤษภาษาไทยก็มีบางเรื่อง ลองเข้าไปอ่านกันดูนะ   http://www.cartooniverse.co.uk/  แต่ถ้าเป็นแฟนการ์ตูนเรื่องไหน ก็ซื้อมาเก็บสะสมไว้ก็ได้ ถือว่าอุดหนุนคนเขียนเด้อ เหอะๆๆๆ

[nook.9]

ครั้งแรกที่มีการค้นพบร็อดซ์นั้นก็คงต้องย้อนกลับไปในเดือนมีนาคมเมื่อปี ค.ศ.1994 สถานที่ก็คือแถวทะเลทรายในแถบนิวเม็กซิโกครับ โดยได้มาจากฟิล์มของกล้องความเร็วสูงที่ถ่ายติดมาได้โดยบังเอิญ O_O และสำหรับผู้ที่ค้นพบร็อดซ์เป็นครั้งแรกและเป็นที่รู้จักกันค่อนข้างมากนั้น (กระทั่งเรื่องโจโจ้ก็ยังนำไปเขียน) คือกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ถ่ายวิดีโอแล้วดันติดร็อดซ์เอาไว้ได้ เมื่อตอนไปกระโดดร่มเล่นที่หน้าผาในนิวเม็กซิโก แต่ภายหลังก็ได้มีภาพถ่ายจากทั่วทุกสารทิศอ้างว่าถ่ายรูปร็อดซ์เอาไว้ได้นานแล้วแต่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร น่าปวดหัวจริงๆ ตกลงผู้ค้นพบร็อดซ์เป็นคนแรกจริงๆ ก็ไม่เป็นที่รู้แน่ชัดละครับว่าเป็นใคร แต่สำหรับบุคคลแรกที่เป็นผู้ที่ทำให้โลกนี้รู้จักกับร็อดซ์ก็คือนาย Jose Escamilla ซึ่งได้นำเรื่องราวของร็อดซ์ไปออกรายการวิทยุ ArtBell(หมอนี่ก็คือเจ้าของเวบ Roswell Rods นั่นเองครับ) และจากนั้นต่อมาเรื่องราวของร็อดซ์ก็เริ่มเป็นที่โด่งดังไปทั่วครับ อ้อ ร็อดซ์นั้นไม่ได้อาศัยหรือมีเพียงแค่ในนิวเม็กซิโกเท่านั้นนะครับ ปัจจุบันนั้นได้พบว่าร็อดซ์นั้นกระจายอยู่ทั่วไปทั้งในอเมริกา แคนาดา อังกฤษ หรือกระทั่งล่าสุดก็มีการพบร็อดซ์ที่แบกแดดอีกด้วย




ร็อดซ์ คืออะไร ?

ในปัจจุบันทั้งหลักฐานและข้อมูลต่างๆ ที่ทำการศึกษามาก็ยังไม่อาจที่จะระบุได้แน่ชัดเลยครับว่าเจ้าสิ่งมีชีวิตปริศนาชนิดนี้คืออะไรกันแน่ เท่าที่ทราบกันก็คงจะเป็นแค่เรื่องที่ว่ามันใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในอากาศ รูปร่างเป็นแท่งยาว มีปีกหรือครีบอยู่รอบลำตัว บินได้เร็วประมาณ 270-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับความเร็วขนาดนี้ แน่นอนครับ ตาคนธรรมดามองไม่เห็นหรือมองตามไม่ทันแน่ อีกปัจจัยหนึ่งก็คือเป็นเพราะว่าขนาดตัวของร็อดซ์มีขนาดเล็ก เฉลี่ยประมาณ 4 นิ้ว (แต่ก็มีบางข้อมูลนะครับที่บอกว่าร็อดซ์นั้นบางตัวอาจมีความยาวถึง 100 ฟุตก็เป็นได้ ค่อนข้างที่จะเหลือเชื่ออยู่สักหน่อย เหอ เหอ) และสีผิวค่อนข้างที่จะขาวหรือขาวใสด้วยครับ เลยทำให้เวลามันเคลื่อนที่อยู่นั้น เราจึงไม่อาจที่จะมองตามมันได้ทันเลย ส่วนเรื่องอาหารการกิน การสืบพันธุ์ พฤติกรรมต่างๆ ของร็อดซ์นั้น ที่เรารู้แทบจะเป็นศูนย์ครับ และส่วนในด้านรูปร่างของร็อดซ์ก็มีการแบ่งแยกย่อยออกไปอีกครับ มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ (1.) Centipede Rods (2.) White Rods (3.) Spears Rods ก็ยังอุตสาห์จัดชนิดของรูปร่างกันอีกแน่ะ ส่วนฉายาหรือชื่อที่เรียกร็อดซ์นั้นก็มีอยู่หลายชื่อครับ ไม่ว่าจะเป็น Roswell Rods, The Sky Diving, Flying Fish, Sky Fish แต่เราๆ ท่านๆ ก็คงจะคุ้นเคยกับคำว่าร็อดซ์เฉยๆ กันมากกว่า จากบันทึกโบราณทางประวัติศาสตร์ก็มีการกล่าวถึงเรื่องราวของสัตว์ปริศนาที่บินได้ อยู่เหมือนกัน แต่คนละกรณีกับร็อดซ์นะครับ แต่ขอเอามาเล่าหน่อยนึง อย่างในหลายๆ ประเทศ เช่น ในจีนเมื่อ ค.ศ. 747 (นานมากๆ) ก็มีบันทึกของสัตว์ที่คล้ายกับงูมีปีกบินได้ (มังกร ?) อยู่ แล้วก็ในยุโรปช่วงยุคกลางก็มีเรื่องเล่าของสัตว์ยักษ์มีปีกที่บินอยู่บนท้องฟ้าและอาศัยอยู่ในถ้ำ หรือกระทั่งในอเมริกายุคของอินเดียนแดงก็ยังมีจารึกของสัตว์ปริศนาบินได้อยู่ ก็เพียงแต่นำมาแทรกนิดนึงครับ ไม่มีอะไรมาก

มาต่อกันที่เรื่องของร็อดซ์ดีกว่า ทุกวันนี้ได้มีการศึกษาและค้นคว้ากันอยู่นะครับ จากนักวิทยาศาสตร์ นักสัตววิทยาและผู้เชี่ยวชาญที่สนใจในเรื่องนี้อย่างจริงจัง และได้วิเคราะห์กันว่าแท้จริงแล้วมันคืออะไรหรือตัวอะไรกันแน่ บ้างก็กล่าวว่ามันอาจจะเป็นเพียงแค่แมลงชนิดหนึ่งที่เรายังไม่รู้จัก ไม่ก็อาจจะเป็นนกสายพันธุ์ใหม่ หรือกระทั่งว่ามันอาจจะเป็นแสงที่กระทบจากพื้นดินแล้วไปเกิดเป็นรูปร่างติดอยู่บนกล้องก็เป็นได้ แต่บ้างก็ว่าร็อดซ์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตต่างพิภพ มนุษย์ต่างดาว หรือแม้แต่ยานอวกาศสอดแนมขนาดจิ๋ว ก็ว่ากันไปครับ

ภาพของรอดซ์ที่จับได้ด้วยกล้องความเร็วสูงครับ

ยังมีทฤษฎีหรือข้อคิดเห็นนึงที่น่าสนใจว่าร็อดซ์อาจจะเป็นเพียงภาพแบบเบลอๆ ของนกเวลาบินหรือเปล่า งงมั๊ยเนี่ย ถ้าว่ากันง่ายๆ ก็คือ รูปร่างของร็อดซ์นั้นอาจจะเกิดมาจากการที่กล้องวิดิโอความเร็วสูงถ่ายเอาไว้ เช่นกล้อง CCD ที่มีความเร็วมากกว่า 60 ช็อต/วินาที ซึ่งเวลานกหรือแมลงกระพือปีกก็จะถูกบันทึกไว้ด้วยความเร็วสูงของกล้อง จนทำให้เกิดภาพต่อเนื่องขึ้นและกลายเป็นรูปร่างของร็อดซ์ไป ดูได้จากรูปเลยครับ นับว่าน่าสนใจดีทีเดียวครับ สำหรับทฤษฎีนี้ แต่ก็ยังใช้อธิบายเรื่องร็อดซ์ไม่ได้ทุกเรื่องไปอยู่ดีนั่นแหละครับ แต่แนวคิดนี้ก็ค่อนข้างที่จะเป็นที่นิยมกันทีเดียวเจียวนะครับนี่ สำหรับผู้ที่ค้านเรื่องร็อดซ์

[Karl.3]

ขอสมัครเเข้าชมรมด้วยได้ปะแต่พูดถึง Geek นึกถึงพวกเด็กเรียนบ้าๆ เลยว่ะ ส่วนเรื่องที่คมสัน พูดมาเนี่ย ก็เคยได้ยินมาบ้างนะอ่านเจอบ้างด้วย

[Sucha.3]

Karl.3: ได้เลยครับ คุณคทาวุธ (Karl.3)


nook.9: เหมือนจะเคยเห็นในทีวี แต่ไม่ได้ศึกษาข้อมูล วันนี้ได้ข้อมูลใหม่อีกเยอะเลย ขอบคุณครับ

[Sucha.3]

ทริปสู่ (Large Hadron Collider) LHC ของ CERN

เป็นวีดีโอ มาบอกว่าทำไมถึงต้องทำการทดลองนี้ เนื้อหาสาระแน่นมากๆ ครับ น่าจะถูกใจพวกชอบวิทยาศาสตร์
จริงๆ โปรเจคนี้มีการทดลองหลายๆ อย่างรวมกัน แต่อย่างหนึ่งคือการหา Higgs Boson หรือตัวแปร (อนุภาค) ที่หายไปใน Standard Model หากเราพบเราจะสามารถปริศนาว่า "มวลมาจากไหน" ของเอกภพนี้ได้

Brian Cox: An inside tour of the world's biggest supercollider
จาก: TED

สำหรับผมมวลมาจาก "บะหมีกึ่งสำเร็จรูปและการไม่ออกกำลังกาย" ครับ

[Copy6.9]

อีกอย่างที่ชื่นชอบคือ ไอ้มดแดง ซึ่งต่อมาเรียกให้เท่ห์ขึ้นว่า มาสไรเดอร์ ซึ่งเมื่อก่อน เนื้อเรื่องไม่มีอะไรมาก โผล่มา แปลงร่าง แล้วฆ่ากันโลด แต่ในปัจจุบัน มันใส่ความเป็นดราม่ามากขึ้น ทำให้เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี และจุดขายอีกอย่างของการ์ตูนพวกนี้คือ ท่าต่างๆ ที่ใช้ในการแปลงร่างและต่อสู้ ผมว่ามันคลาสสิกดีนะ อิอิ ^^

ปล.มาสไรเดอร์ที่ชอบมากที่สุดคือ มาสไรเดอร์ เบลด ตึ้งโป๊ะ

[citrus.15]

พูดถึงไรเดอร์ โดยส่วนตัวไม่ได้ดูนะ แต่ก็ตามข่าวตลอด แต่เดี๋ยวนี้นอกจากจะพัฒนาเนื้อเรื่องให้ดูดราม่ามากขึ้นแล้วทางคนสร้างเค้ายังเพิ่มจุดขายอีกอย่างคือนักพากย์ด้วยค่ะ (พอดีบ้า seiyuu หรือนักพากย์ญี่ปุ่นด้วยน่ะ) อย่างเดนโอนี้ดังสุดๆเลยนะเนี่ยเพราะขายแต่นักพากย์ระดับสุดยอดบ้านเค้า(มาพากย์เป็นตัวโกง) เพลงก็ดันขึ้นอันดับ oricon ด้วยอ่ะดิ โอ้.... ไรเดอร์ชักกลายพันธุ์.....

ปล.หน้าตาคนเล่นก็มีส่วนนะ พระเอกหน้าตาดีได้ใจแม่บ้านกันตรึม

[nook.9]

ทริปสู่ (Large Hadron Collider) LHC ของ CERN

เป็นวีดีโอ มาบอกว่าทำไมถึงต้องทำการทดลองนี้ เนื้อหาสาระแน่นมากๆ ครับ น่าจะถูกใจพวกชอบวิทยาศาสตร์
จริงๆ โปรเจคนี้มีการทดลองหลายๆ อย่างรวมกัน แต่อย่างหนึ่งคือการหา Higgs Boson หรือตัวแปร (อนุภาค) ที่หายไปใน Standard Model หากเราพบเราจะสามารถปริศนาว่า "มวลมาจากไหน" ของเอกภพนี้ได้

Brian Cox: An inside tour of the world's biggest supercollider
จาก: TED

สำหรับผมมวลมาจาก "บะหมีกึ่งสำเร็จรูปและการไม่ออกกำลังกาย" ครับ

ไม่ค่อยเข้าใจ Higgs Boson อะ เลยไปหามา

Higgs Boson มันคืออนุภาคในตำนาน
หนังสือพิมพ์ไปเรียกกันว่าเป็น "God's Particle"
เลยตื่นเต้นกันใหญ่
ที่มีคนเรียกว่าเป็น "God's Particle" ก็เพราะ...
เริ่มต้นที่ อีตา Peter Higgs เสนอสมมุติฐานว่า การที่อนุภาคบางตัวมีมวล มากบ้าง น้อยบ้าง ในขณะที่บางตัวไม่มีมวล มันเป็นเพราะใน space ทั่วไปมีสนามอยู่คู่นึง (ก็เรียกชื่อตามอีตา Higgs ว่า Higgs field) ซึ่งสนามนี้มันอยู่ทุกที่ทุกแห่ง อนุภาคที่มีอันตกิริยา (แปลเป็นอังกฤษให้เข้าใจง่ายๆว่า interaction) กับ Higgs field ก็จะเกิดมวล
มี interaction มาก มวลก็มาก interaction น้อย มวลก็น้อย
ไม่มี interaction ก็ไม่มีมวล
คล้ายๆกับสนามไฟฟ้านั่นแหละ
สนามไฟฟ้าเกิดจากเมื่อมีประจุไฟฟ้าก็มีสนาม
อนุภาคที่มีประจุ พอไปอยู่ในสนามไฟฟ้า ก็เกิดการเหนี่ยวนำ แล้วเกิดแรง
ทำให้การเคลื่อนที่ของอนุภาคเปลี่ยนไป
ใน Higgs field ก็คล้ายๆกัน
อนุภาคที่ได้รับผลจาก Higgs field ก็จะเกิดความหน่วงซึ่งถ้าจะให้มันเคลื่อนที่ใน Higgs field ก็ต้องใส่แรงเข้าไป ใส่แรงแล้วก็เกิดความเร่ง
หน่วงน้อย ก็ใส่แรงนิดเดียว ก็ได้ความเร่งมาก
หน่วงมาก ก็ต้องใส่แรงมากเพื่อให้ได้ความเร่งเท่าเดิม
F=ma
และ m ขึ้นกับ interaction กับ Higgs field ของอนุภาคนั้น
โฟตอน ที่ไม่มีมวล ก็คือ มันไม่มี interaction กับ Higgs field
กระบวนการที่ทำให้เกิดมวลโดย Higgs field นี้ เรียกว่า Higgs Mechanism
ตำราหลายเล่มอุปมาว่า เหมือนเราไปเดินในเยลลี่
แรงต้านในเยลลี่ก็ขึ้นกับหุ่นและน้ำหนักของคนที่เดิน
คนที่โดนแรงต้านมาก ก็เหมือนอนุภาคที่มีมวลมาก
ต้องใช้แรงมากกว่าจะฉุดให้เคลื่อนที่ไปได้
ส่วนคนที่แรงต้านน้อย ก็เหมือนกับอนุภาคที่มวลน้อย
จากเรื่อง Higgs field และ Higgs mechanism ตา Peter Higgs ก็ทำนายว่า ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง ก็จะต้องมีอนุภาคอีกตัวเป็นอนุภาคประจำ Higgs field
และทำนายว่าน่าจะมีมวลเท่าไร ประจุอะไร Spin เท่าไรเสร็จสรรพ
ตั้งชื่อกันก่อนเจอว่า "Higgs Boson"
นักวิทยาศาสตร์ก็ค่อนข้างยอมรับสมมุติฐานนี้ และพยายามหาเจ้า Higgs boson นี้ แต่เนื่องจากเครื่องเร่งอนุภาคที่มีอยู่ก่อน LHC มันให้ระดับพลังงานไม่สูงพอที่จะสร้าง Higgs Boson ได้ ก็เลยตั้งความหวังว่า LHC จะสามารถพิสูจน์ว่าเจ้า Higgs Boson มีจริง
ซึ่งก็เท่ากับพิสูจน์ว่ามี Higgs field และ Higgs mechanism ด้วย

[nook.9]

สัตว์ประหลาดหรือสัตว์ลึกลับเรื่องแรกนั้นเรามาเริ่มกันที่เจ้านี่เลย "หนอนทาเซล (Tazel Worm)" ซึ่งเจ้าหนอนทาเซลหรือทัทเซลเนี่ยยังเป็นที่รู้จักกันอีกหลายต่อหลายชื่อ เช่น tunnel Worm, Jumping Worm, Mountain Worm, Claw Worm และอีกหลายชื่อ แหะ แหะ เรื่องชื่อพักเอาไว้ก่อนดีกว่านะครับ เอ !? ทำไมถึงเอาเจ้านี่มาจัดอยู่ในหมวดหมู่สัตว์ประหลาดหรือสัตว์ลึกลับล่ะ ดูจากชื่อแล้วก็อาจจะสงสัยกันน่ะนะครับ ว่ามันก็น่าจะเป็นหนอนธรรมดาๆ ชนิดนึงเท่านั้นนี่ แต่มันไม่ยังงั้นละซิครับ คือว่าเจ้าหนอนทาเซลเนี่ย (ขอเรียกชื่อนี้ก็แล้วกัน ง่ายดี) มาว่ากันที่รูปร่างกันก่อนก็แล้วกัน เจ้าหนอนทาเซลเนี่ยมันมีรูปร่างที่ไม่ธรรมดาเอาซะเลย ลำตัวจะเหมือนสัตว์เลื้อยคลานมีความยาวขนาด 2-3 ฟุต หรือประมาณ 40-60 ซม. ปากกว้าง หางสั้น มีขา 2 ขาบ้าง 4 ขาบ้าง แน่ะ ดันมีรูปร่างไม่เหมือนกันอีก รูปร่างก็ถือว่าประหลาด


แต่ที่ร้ายกาจยิ่งกว่านั้นคือความสามารถอันไม่ธรรมดาของเจ้าหนอนทาเซลก็คือลมหายใจของมันนั้นจะมีพิษอยู่ ซึ่งพิษที่ออกมากับลมหายใจของมันนั้นว่ากันว่าสามารถทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตายได้เลยทีเดียว ทั้งยังประกอบไปด้วยหนังที่หนามากจนมีดและของมีคมก็ไม่อาจระคายผิวของมันได้ บ้างก็ว่าเจ้าหนอนทาเซลเนี่ยเวลามันกระโดดทีนึงนั้นสามารถไปได้ไกลถึง 2-3 เมตรเลยทีเดียว ดูจากรายละเอียดแล้วไม่ธรรมดาเลยใช่มั๊ยละครับเจ้าหนอนทาเซลเนี่ย ว่ากันว่าที่อยู่อาศัยของมันนั้นลึกเข้าไปในแถบเทือกเขาแอลป์ (Alps) นักสัตววิทยา Johann Jakob จากสวิสเซอร์แลนด์ได้แสดงรายละเอียดถึงการพบเห็นเจ้าหนอนทาเซลว่ามีการพบเห็นกันมานานแล้ว จากชาวบ้านและผู้ที่อาศัยอยู่ในบริเวณเทือกเขาแอลป์หรือหมู่บ้านบริเวณใกล้ๆ กันนั้น รวมไปถึงรายงานจากนักสำรวจและนักผจญภัย (เริ่มตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ. 1700 โหย นานมาก) และมีอยู่หลากหลายรูปแบบการพบเห็นรวมไปถึงสถานที่แตกต่างกันออกไป แต่รายงานแบบลักษณะแปลกๆ จากผู้ที่อ้างว่าพบเห็นมันก็มีอยู่เหมือนกันนะ เช่น ดูเหมือนงูที่มีหัวเหมือนแมวหรือไม่ก็คล้ายกับมังกรขนาดย่อส่วน บ้างก็เล่าถึงขนาดว่ามันบินได้ก็มี ก็ว่ากันไปครับ

ไม่เฉพาะที่สวิสเซอร์แลนด์เท่านั้นนะครับที่มีรายงานการพบเห็นเจ้าหนอนทาเซล แต่ที่ฝรั่งเศสและสเปนก็มีรายงานการพบเห็นอยู่เช่นกัน แต่ก็มีการคัดค้านจากนักวิทยาศาสตร์และนักสำรวจที่ไม่เชื่อเรื่องนี้เช่นกันครับ โดยเค้ากล่าวว่าเจ้าหนอนทาเซลเนี่ยตัวจริงๆ ของมันแล้วอาจจะเป็นเพียงสัตว์ในตระกูล megalobatrachus หรือสลาแมนเดอร์ยักษ์ก็เป็นได้ อาจจะเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยมีการพบเห็นบ่อยนักเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ลึกลับที่ไหนหรอก แต่ก็มีผู้ที่เชื่อและค้นคว้าสำรวจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ก็ไม่แน่นะครับสำหรับสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนเข้าไปรบกวนมากนักและใหญ่โตกว้างขวางแบบนี้นั้น จะมีสัตว์สายพันธุ์ที่เราไม่เคยเห็นอยู่บ้างสักชนิดสองชนิดก็ไม่ใชเรื่องแปลกอะไรนี่ ว่ากันมั๊ยครับ นี่ก็คือเรื่องเล่าจากตำนานเรื่องแรกสำหรับเจ้าสัตว์ลึกลับแห่งเทือกเขาแอลป์ "หนอน

[ALT+F4]

โอ้ววว
สมาชิกชมรมเริ่มมากขึ้นแล้วเว้ย
ท่าน nook.9 ช่างขยันหาเรื่องราวมานำเสนอจริงๆ อ่านแล้วได้ความรู้ดี ชอบ

[ไซนิล.7]

ขอบคุณท่านสุชาด้วยเน่อ เห็นชื่อในหน้าแรกแล้วคับ อิอิ

นุ๊ก ขอบคุณเรื่องเวบด้วย เราก็ตามอ่านจากเวบนี้แหละ พักหลังเลยไม่ได้แตะบูมเท่าไหร่
ในเวบเราอ่าน นารูโตะ วันพีช Bleach ...

นารูโตะ กำลังมันส์เลย ดันโซเริ่มเคลื่อนไหว เห็นมันมีแผนไรมาตั้งนานแล้ว -"-
คิดว่า เพนจะมาตายที่โคโนะฮะไหม เราว่าน่าจะนะ คนเก่งเยอะอยู่
ส่วนตัวเราชอบชิกามะรุ ที่สุด จอมวางแผน ฉลาดโคตร

ปล.Mx 0 เราก็ตามอ่านนะ แต่มาจบห้วนๆที่ตอน 99 คาดว่าที่ญี่ปุ่นคงไม่ฮิต เลยโดนตัดจบ เซ็งเลย

[somwang.2]

เปิดห้องให้ใหม่แล้ว อัพชื่อในสมุดพกและกลุ่ม Greek Club
ตามรายชื่อต่อไปนี้ให้แล้ว

Sucha.3	สุชา	990338
namfon.13	น้ำฝน	991316
Copy6.9	ก๊อป	990920
AngelMan.7	กั๊ก	990723
citrus.15	ส้ม	991511
nook.9	นุ๊ก	990927
Mr.T 6/5	ท๊อป	990519
yokiyok.13	หยก	991317
ดช.ไซนิล.7	ไซนิล	990724
Karl.3	ต้อง	990326

ในกลุ่มGreek Club หน้าบ้านสุชารับสมาชิกเข้ากลุ่้มได้เองเลย
ส่วนในสมุดพกต้องให้Admin ไปอัพเดทให้ได้เท่านั้นครับ

ใครสนใจตั้งชมรมแล้วจะเปิดห้องอย่างนี้ ต้องมีสมาชิกอย่างน้อยในชมรม10คนครับผม